บทความ

IP Rating คืออะไร? มาตรฐานกันน้ำ กันฝุ่นก่อนเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า

IP Rating คืออะไร

เคยสงสัยไหมว่าทำไมอุปกรณ์ไฟฟ้าบางชนิดถึงใช้ภายนอกอาคารได้ ทนแดดทนฝน ในขณะที่บางชนิดแค่โดนละอองน้ำก็อาจเสียหาย? หรือเวลาเลือกซื้อสมาร์ตโฟน ทำไมบางรุ่นถึงโฆษณาว่าลงน้ำได้? คำตอบของคำถามเหล่านี้ซ่อนอยู่ในตัวเลขและตัวอักษรที่เราเรียกว่า IP Rating ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ช่วยบ่งบอกความสามารถในการป้องกันฝุ่นและน้ำของอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ตั้งแต่ปลั๊กไฟ โคมไฟ ไปจนถึงเครื่องจักรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพราะฉะนั้นการทำความเข้าใจความหมายของ IP Rating จะช่วยให้เราเลือกซื้อและใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมมากที่สุดนั่นเอง    

IP Rating คืออะไร 

IP Rating (Ingress Protection Rating) คือมาตรฐานสากลที่ใช้วัดและระบุระดับการป้องกันของเปลือกหุ้มอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จากสิ่งแปลกปลอมภายนอก ทั้งของแข็ง เช่น ฝุ่น ทราย แมลง และของเหลวเช่น น้ำ โดยมาตรฐานนี้ถูกกำหนดขึ้นโดยคณะกรรมาธิการเทคนิคไฟฟ้าสากล หรือที่เรียกว่ามาตรฐาน IEC เพื่อให้ผู้บริโภคและผู้ใช้งานสามารถเปรียบเทียบและเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งานได้อย่างมั่นใจ โดยค่า IP Rating จะแสดงด้วยตัวอักษร IP ตามด้วยตัวเลขสองหลัก  

วิธีอ่านค่า IP Rating และความหมายของตัวเลขแต่ละหลัก 

ค่า IP Rating ประกอบด้วยตัวเลข 2 หลัก ซึ่งแต่ละหลักมีความหมายที่ชัดเจนในการระบุระดับการป้องกันที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้   

IP Rating กันน้ำ

เลขหลักแรก (Solid Protection)

ตัวเลขหลักแรกจะบ่งบอกถึงระดับการป้องกันของแข็ง มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 6 โดยยิ่งตัวเลขสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความสามารถในการป้องกันของแข็งที่มีขนาดเล็กได้ดีขึ้นเท่านั้น  

  • 0  ไม่มีการป้องกันใด ๆ 
  • 1  ป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 50 มม. ขึ้นไป เช่น มือ 
  • 2  ป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 12.5 มม. ขึ้นไป เช่น นิ้วมือ 
  • 3  ป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 2.5 มม. ขึ้นไป เช่น เครื่องมือ สายไฟ 
  • 4 ป้องกันของแข็งที่มีขนาดใหญ่กว่า 1 มม. ขึ้นไป เช่น แมลง สกรูขนาดเล็ก 
  • 5 ป้องกันฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง โดยยังมีฝุ่นเล็ดลอดเข้าไปได้เล็กน้อยแต่ไม่มีผลกระทบต่อการทำงานของอุปกรณ์ 
  • 6 ป้องกันฝุ่นได้อย่างสมบูรณ์ 100%

เลขหลักที่สอง (Liquid Protection)

ตัวเลขหลักที่สองจะบ่งบอกถึงระดับการป้องกันของเหลว มีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 9K ซึ่งระดับที่สูงขึ้นหมายถึงความสามารถในการป้องกันน้ำจากการฉีดหรือการจมน้ำได้ดีกว่า 

  • 0  ไม่มีการป้องกันใด ๆ 
  • 1 ป้องกันหยดน้ำที่ตกกระทบในแนวดิ่ง 
  • 2 ป้องกันหยดน้ำที่ตกกระทบในแนวเฉียง 15 องศาจากแนวดิ่ง 
  • 3 ป้องกันละอองน้ำที่ตกกระทบในแนวเฉียง 60 องศาจากแนวดิ่ง 
  • 4 ป้องกันละอองน้ำได้จากทุกทิศทาง 
  • 5 ป้องกันน้ำจากการฉีดด้วยแรงดันต่ำได้จากทุกทิศทาง 
  • 6 ป้องกันน้ำจากการฉีดด้วยแรงดันสูงได้จากทุกทิศทาง 
  • 7 ป้องกันผลกระทบจากการจมน้ำชั่วคราวที่ความลึกไม่เกิน 1 เมตร นานสูงสุด 30 นาที 
  • 8 ป้องกันผลกระทบจากการจมน้ำอย่างต่อเนื่องภายใต้แรงดันและความลึกที่ผู้ผลิตกำหนด ซึ่งโดยทั่วไปจะมากกว่า 1 เมตร 
  • 9K ป้องกันน้ำจากการฉีดด้วยแรงดันสูงพิเศษและอุณหภูมิสูงในระยะใกล้ได้

IP Rating มีความสำคัญต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างไร

การมี IP Rating ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ติดอยู่บนผลิตภัณฑ์ แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อการใช้งานในหลาย ๆ ด้าน เช่น 

  • ความปลอดภัยของผู้ใช้งาน อุปกรณ์ที่มี IP Rating เหมาะสมจะช่วยป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าช็อตหรือไฟฟ้าลัดวงจรที่อาจเกิดขึ้นเมื่อน้ำหรือฝุ่นเข้าไปสัมผัสกับวงจรภายใน โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ติดตั้งในพื้นที่เสี่ยง เช่น ห้องน้ำ ห้องครัวหรือพื้นที่ภายนอกอาคาร 
  • อายุการใช้งานของอุปกรณ์ ฝุ่นและความชื้นคือศัตรูตัวฉกาจของอุปกรณ์ไฟฟ้า การเลือกใช้อุปกรณ์ที่มี IP Rating ที่สามารถป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม จะช่วยลดการสึกหรอและความเสียหายของชิ้นส่วนภายใน ทำให้อุปกรณ์มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ไม่ต้องซ่อมแซมหรือเปลี่ยนบ่อย 
  • การเลือกอุปกรณ์ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม IP Rating เป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้วิศวกร ช่างเทคนิค และผู้ใช้งานทั่วไปสามารถเลือกอุปกรณ์ได้ตรงกับความต้องการของสภาพแวดล้อมนั้น ๆ เช่น การเลือกใช้กล่องกันน้ำหรือตู้กันน้ำ สำหรับติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าภายนอกอาคาร ย่อมต้องการ IP Rating ที่สูงกว่าอุปกรณ์ที่ใช้ภายในบ้านทั่วไป 

IP Rating ที่พบบ่อยในชีวิตประจำวันและงานอุตสาหกรรม

  • IP54 ป้องกันฝุ่นได้ในระดับหนึ่งและป้องกันละอองน้ำได้จากทุกทิศทาง เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในอาคารที่อาจมีฝุ่นหรือความชื้นเล็กน้อย 
  • IP65 ป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์และป้องกันน้ำจากการฉีดแรงดันต่ำได้ นิยมใช้ในโคมไฟโรงงาน, อุปกรณ์ที่ติดตั้งในพื้นที่ซักล้าง หรือภายนอกอาคารที่อาจโดนฝน 
  • IP66 ป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์และทนต่อการฉีดน้ำแบบรุนแรง เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมที่ต้องการการทำความสะอาดด้วยการฉีดน้ำ หรือพื้นที่ชายฝั่งทะเล 
  • IP66K ป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์และทนต่อการฉีดน้ำด้วยแรงดันสูงได้จากทุกทิศทาง 
  • IP67 ป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์และสามารถจมน้ำได้ชั่วคราวที่ความลึกไม่เกิน 1 เมตร เป็นเวลา 30 นาที มักพบในสมาร์ตโฟน สมาร์ตวอทช์และอุปกรณ์ที่อาจเสี่ยงต่อการตกน้ำ 
  • IP68 ป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์และสามารถจมน้ำได้อย่างต่อเนื่องตามเงื่อนไขที่ผู้ผลิตกำหนด เหมาะสำหรับอุปกรณ์ที่ต้องทำงานใต้น้ำ เช่น กล้องวงจรปิดใต้น้ำ ปั๊มน้ำ 
  • IP69K เป็นมาตรฐานระดับสูงสุด สามารถป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์และทนทานต่อการฉีดน้ำแรงดันสูงและอุณหภูมิสูงได้ มักใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยา ที่ต้องการการทำความสะอาดฆ่าเชื้ออย่างจริงจัง 

กล้องวงจรปิด IP68 กันน้ำและฝุ่น

สรุปบทความ

IP Rating เป็นมาตรฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้น การทำความเข้าใจความหมายของตัวเลขแต่ละหลัก ก็จะช่วยให้เราสามารถประเมินความสามารถในการป้องกันฝุ่นและน้ำของอุปกรณ์ได้อย่างถูกต้อง ทำให้เราเลือกซื้อสินค้าได้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานภายในบ้าน ภายนอกอาคารหรือในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ให้ยาวนานขึ้น แต่ยังเพิ่มความปลอดภัยสูงสุดให้กับผู้ใช้งานอีกด้วย ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเลือกซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าครั้งต่อไป อย่าลืมมองหาค่า IP Rating เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและปลอดภัยอย่างแท้จริง   

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) 

ค่า IP Rating สามารถกันน้ำทะเลหรือของเหลวชนิดอื่นได้หรือไม่? 

ไม่ได้ เนื่องจากค่า IP Rating เป็นการทดสอบการกันน้ำจืดเพียงเท่านั้น น้ำทะเลหรือของเหลวชนิดอื่น เช่น น้ำทะเล น้ำสบู่ หรือน้ำที่มีคลอรีน อาจมีฤทธิ์กัดกร่อนซึ่งอาจสร้างความเสียหายให้กับซีลยางและตัวอุปกรณ์ได้ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้นำอุปกรณ์ที่มี IP Rating ไปใช้กับของเหลวชนิดอื่นนอกเหนือจากน้ำจืด  

IP Rating มีวันหมดอายุหรือไม่? ประสิทธิภาพการกันน้ำจะลดลงไหม? 

IP Rating ไม่มีวันหมดอายุ แต่ประสิทธิภาพในการกันน้ำและฝุ่น สามารถลดลงได้ตามกาลเวลาและการใช้งาน  

จำเป็นต้องเลือกอุปกรณ์ที่มี IP Rating สูงที่สุดเสมอไปหรือไม่?

ไม่จำเป็น การเลือก IP Rating ที่เหมาะสมที่สุดคือการเลือกให้ตรงกับสภาพแวดล้อมการใช้งานจริง การเลือกค่าที่สูงเกินความจำเป็นอาจทำให้ต้องจ่ายเงินแพงขึ้นโดยใช่เหตุ