บทความ

มาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้าน มีอะไรบ้าง เพื่อการติดตั้งที่ปลอดภัย

มาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้าน

การติดตั้งระบบไฟฟ้าภายในอาคาร ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัย อาคารสำนักงานหรือโรงงานอุตสาหกรรม ความปลอดภัยถือเป็นหัวใจสำคัญสูงสุด ดังนั้นการเดินสายไฟอย่างถูกวิธีตามมาตรฐานการเดินสายไฟในราง จึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้าม เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือปัญหาอื่น ๆ ในประเทศไทย การติดตั้งระบบไฟฟ้าภายในบ้านต้องเป็นไปตามมาตรฐานของการไฟฟ้านครหลวง (MEA) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) รวมถึงข้อกำหนดตามมาตรฐานวิศวกรรมไฟฟ้าไทย (TIS 1860) ที่ได้รับการยอมรับและใช้อย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังมีมาตรฐานสากลจาก IEC (International Electrotechnical Commission) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของงานระบบไฟฟ้า 

อย่างไรก็ตาม มาตรฐานเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ระบบไฟฟ้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์และสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานนั่นเอง ในบทความนี้ Leetech จะพาคุณไปทำความดูว่า มาตรฐานการเดินรางสายไฟที่คุณควรปฏิบัติตาม มีอะไรบ้าง 

มาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้าน มีอะไรบ้าง 

นอกจากการเลือกประเภทสายไฟให้ถูกต้องแล้ว มาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้านยังครอบคลุมไปถึงข้อกำหนดและข้อควรระวังอื่น ๆ อีกหลายด้าน เพื่อให้ระบบไฟฟ้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด ซึ่งช่างไฟฟ้ามืออาชีพและเจ้าของบ้านควรรู้ เพื่อตรวจสอบและดูแลระบบไฟฟ้าให้ได้มาตรฐาน ดังนี้   

ชนิดของสายไฟ  

การเลือกชนิดสายไฟต้องให้สอดคล้องกับลักษณะการติดตั้ง เช่น การเดินสายไฟแบบลอย เดินในท่อหรือแบบฝังดิน และสภาพแวดล้อม นอกจากนี้ การใช้สีของสายไฟให้ถูกต้องตามมาตรฐาน มอก. 11-2553 ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งตามมาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้าน เพื่อป้องกันความสับสนและอันตรายในการติดตั้งและซ่อมบำรุง โดยมีมาตรฐานสีดังนี้

  • สายไลน์ L1 สีน้ำตาล
  • สายไลน์ L2 สีดำ
  • สายไลน์ L3 สีเทา 
  • สายนิวทรัล (N) สีฟ้า
  • สายดิน (G) สีเขียวแถบเหลือง  

 

สายไฟ

ระยะห่างของสายไฟ  

มาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้านและมาตรฐานการเดินท่อร้อยสายไฟ มีการกำหนดระยะห่างขั้นต่ำระหว่างสายไฟ ท่อเดินสายไฟกับส่วนประกอบอื่น ๆ ของอาคารหรือระบบสาธารณูปโภคอื่น ๆ เพื่อความปลอดภัยและป้องกันความเสียหาย ตามมาตรฐานปี 2564 รางสายไฟควรห่างจากพื้นดินอย่างน้อย 30 ซม. ห่างท่อน้ำ 10 ซม. ท่อแก๊ส 5 ซม. ท่อประปา 3 ซม. และควรเว้นระยะห่างจากผนังหรือฝ้าอย่างน้อย 1 ซม. ทั้งนี้ การรักษาระยะห่างเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงจากความร้อนสะสม และอันตรายจากการสัมผัสโดยไม่ตั้งใจได้    

ขนาดของสายไฟ 

การเลือกขนาดสายไฟต้องสัมพันธ์กับปริมาณกระแสไฟฟ้าสูงสุดที่วงจรนั้น ๆ จะใช้งาน ซึ่งสามารถคำนวณได้จากกำลังไฟฟ้า (วัตต์) ของเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในวงจร หารด้วยแรงดันไฟฟ้า (โวลต์) แล้วนำค่ากระแสไฟฟ้าสูงสุดที่ได้ไปเทียบกับตารางมาตรฐานเพื่อเลือกขนาดสายไฟที่เหมาะสม  

การใช้สายไฟขนาดเล็กเกินไปเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง เพราะจะเกิดความร้อนสูง ฉนวนละลายและอาจเกิดไฟไหม้ได้ ส่วนการใช้สายใหญ่เกินความจำเป็นก็ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายโดยใช่เหตุ 

การต่อสายไฟ 

จุดเชื่อมต่อสายไฟเป็นบริเวณที่มักเกิดปัญหาได้หากทำไม่ถูกต้องตามมาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้าน การต่อสายต้องแน่นหนาและใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับชนิดและขนาดของสาย เช่น เทอร์มินัลบล็อก (หางปลา) ไวร์นัท (Wire Nut) หรือเทปพันสายไฟคุณภาพสูง เพราะการต่อสายไฟที่หลวมจะทำให้เกิดความต้านทานสูง เกิดความร้อน ณ จุดต่อ และอาจนำไปสู่ไฟฟ้าลัดวงจรหรืออัคคีภัยได้ 

การติดตั้งตู้เมนไฟฟ้า  

ตู้เมนไฟฟ้า เปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการของระบบไฟฟ้าในบ้าน ตามมาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้านกำหนดให้ติดตั้งในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่าย สะดวกต่อการใช้งานและซ่อมบำรุง แต่ต้องปลอดภัยจากน้ำท่วม แนะนำให้ติดตั้งที่ชั้นลอยหรือชั้นสอง หากเป็นบ้านชั้นเดียวควรสูงจากพื้นอย่างน้อย 1.60 เมตร และตู้เมนควรมีขนาดเหมาะสม มีการแยกวงจรย่อยอย่างชัดเจน และใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ที่มีพิกัดทนกระแสลัดวงจร (IC) ไม่น้อยกว่า 10 kA   

ตำแหน่งในการติดตั้งสวิตช์และเต้ารับ

ตำแหน่งติดตั้งสวิตช์และเต้ารับก็มีความสำคัญตามมาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้าน ควรติดตั้งในระดับความสูงที่เหมาะสมกับการใช้งานและปลอดภัยจากน้ำท่วม โดยทั่วไป เต้ารับควรสูงจากพื้นอย่างน้อย 30 เซนติเมตร และต้องเป็นเต้ารับที่มีขั้วสายดินตามมาตรฐาน มอก. 166-2549 เสมอ และควรมีการจัดเรียงขั้วที่ถูกต้อง (L-N-G ทวนเข็มนาฬิกา หรือ G อยู่ขวา) หากจำเป็นต้องติดตั้งในพื้นที่เสี่ยง เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว โรงรถหรือพื้นที่ต่ำ ควรติดตั้งเต้ารับร่วมกับเครื่องตัดไฟรั่ว (RCD) ด้วย    

วงจรสายไฟย่อย 

ระบบไฟฟ้าที่ดีควรมีการแบ่งวงจรย่อย (Sub-circuits) อย่างเหมาะสมตามมาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้าน เพื่อแยกการจ่ายไฟไปยังส่วนต่าง ๆ ของบ้าน หรือแยกสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมาก เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น 

ทั้งนี้ การแยกวงจรช่วยให้เมื่อเกิดปัญหาในวงจรหนึ่ง จะไม่กระทบกับวงจรอื่น ๆ ทำให้สามารถจัดการและแก้ไขปัญหาได้ง่ายขึ้น และยังช่วยกระจายโหลดไฟฟ้า ไม่ให้วงจรใดวงจรหนึ่งทำงานหนักเกินไป  

เครื่องตัดไฟรั่ว 

เครื่องตัดไฟรั่ว (RCD – Residual Current Device) เป็นอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยที่สำคัญอย่างยิ่งและเป็นข้อกำหนดในมาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้าน สำหรับวงจรที่มีความเสี่ยงสูง ต้องติดตั้ง RCD ที่มีความไวในการตัดกระแสไฟรั่วไม่เกิน 30 มิลลิแอมป์ (mA) เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟดูด  

ติดตั้งสายดิน  

ระบบสายดิน (Grounding System) เป็นหัวใจสำคัญของความปลอดภัยทางไฟฟ้าที่มาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้านกำหนดให้ต้องมี การติดตั้งสายดินที่ถูกต้องตามมาตรฐานจะช่วยนำกระแสไฟฟ้าที่อาจรั่วไหลออกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าลงสู่พื้นดินได้อย่างรวดเร็ว 

นอกจากนี้ ระบบนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้กระแสไฟฟ้ารั่วไหลผ่านร่างกายมนุษย์เมื่อไปสัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ๆ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากไฟดูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีระบบสายดินที่ดีควบคู่กับการใช้เต้ารับที่มีขั้วสายดินจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกบ้าน  

ประเภทสายไฟที่นิยมใช้ในบ้าน มีอะไรบ้าง

การเลือกชนิดของสายไฟให้เหมาะสมกับการใช้งานเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญตามมาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้าน โดยทั่วไป สายไฟที่ใช้ภายในบ้านต้องเป็นตัวนำทองแดง หุ้มด้วยฉนวน PVC และสามารถทนแรงดันไฟฟ้าได้ตามที่มาตรฐานกำหนด (ส่วนใหญ่อย่างน้อย 300 โวลต์ขึ้นไป) สายไฟที่นิยมใช้กันทั่วไปมี 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้ 

สาย VAF (สายแบน) 

สาย VAF เป็นสายแบนสีขาว มี 2 หรือ 3 แกน มีและไม่มีสายดิน ตัวนำเป็นทองแดงเส้นเดี่ยวหรือตีเกลียว ทนแรงดัน 300/500 โวลต์ และอุณหภูมิไม่เกิน 70°C เหมาะสำหรับเดินลอยติดผนัง (ตีกิ๊บ) หรือเดินในรางวายเวย์ภายในอาคาร ห้ามร้อยท่อฝังดินหรือฝังดินโดยตรง และไม่เหมาะกับพื้นที่เปียกชื้นหรือภายนอกอาคาร

สาย THW (60227 IEC 01) 

สาย THW เป็นสายแกนเดี่ยว ตัวนำเป็นทองแดงเส้นเดี่ยวหรือตีเกลียว หุ้มฉนวน PVC ชั้นเดียว ทนแรงดัน 450/750 โวลต์ และอุณหภูมิไม่เกิน 70°C เหมาะสำหรับเดินในท่อร้อยสายไฟ เช่น ท่อ PVC สีเหลือง หรือท่อโลหะ เพื่อฝังในผนังหรือเดินบนฝ้าเพดานถือเป็นส่วนสำคัญของมาตรฐานการเดินท่อร้อยสายไฟ แต่จะไม่แนะนำให้ติดตั้งภายนอกอาคาร ฝังดินโดยตรงหรือเดินบนรางเคเบิล (ยกเว้นเป็นสายดิน) 

สาย VCT / VCT-G 

สาย VCT / VCT-G เป็นสายกลม มี 1 – 4 แกน ตัวนำเป็นทองแดงฝอย หุ้มฉนวนและเปลือก PVC ทำให้มีความอ่อนตัว ยืดหยุ่นสูง ทนแรงดันได้ 450/750 โวลต์ และอุณหภูมิไม่เกิน 70°C ทนทานต่อสภาพอากาศได้ดี เหมาะกับการติดตั้งหลากหลายรูปแบบ ทั้งเดินบนรางเดินสายไฟ เดินร้อยท่อฝังผนังและฝังดิน หรือใช้งานกับอุปกรณ์ที่อาจมีการเคลื่อนที่ ชนิด VCT-G จะมีสายดินมาในตัว เหมาะกับงานที่ต้องการการฝังดินโดยตรงตาม มาตรฐานการเดินท่อร้อยสายไฟ

สาย NYY / NYY-G 

สาย NYY / NYY-G เป็นสายกลม มี 1 – 4 แกน คล้าย VCT แต่แข็งแรงกว่าและมีความยืดหยุ่นน้อยกว่า ทนแรงดัน 450/750 โวลต์ และอุณหภูมิไม่เกิน 70°C เหมาะสำหรับงานนอกอาคาร สามารถเดินร้อยท่อฝังดินหรือฝังลงดินโดยตรงได้เลยตามมาตรฐานการเดินท่อร้อยสายไฟ ชนิด NYY-G จะมีสายดินในตัว

ประเภทของการเดินสายไฟในบ้าน มีอะไรบ้าง 

การเดินสายไฟในบ้านเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทั้งความสวยงามและความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย การเลือกวิธีการเดินสายไฟที่เหมาะสมจึงควรพิจารณาจากลักษณะของตัวบ้าน งบประมาณและแผนการใช้งานในอนาคต โดยทั่วไปสามารถแบ่งประเภทการเดินสายไฟในบ้านได้ ดังนี้ 

1. การเดินสายไฟในบ้านแบบฝังในผนัง

วิธีนี้เป็นการซ่อนสายไฟไว้ในผนังหรือฝ้าเพดาน โดยจะทำไปพร้อมๆ กับขั้นตอนการก่อสร้างบ้านใหม่หรือการปรับปรุงครั้งใหญ่ สายไฟจะถูกร้อยผ่านท่อร้อยสายไฟ (Conduit) ก่อนที่จะถูกฝังเข้าไปในผนังแล้วฉาบปูนทับ ทำให้ผนังบ้านดูเรียบเนียน สวยงาม และปลอดภัยจากการสัมผัสหรือการกระแทกโดยตรง  

2. การเดินสายไฟในบ้านแบบเดินลอย

การเดินสายไฟแบบเดินลอยเป็นคำเรียกกว้าง ๆ ของการเดินสายไฟเกาะไปตามผิวผนังหรือเพดานโดยไม่มีการฝังเข้าไปในโครงสร้าง ซึ่งเป็นที่นิยมสำหรับการต่อเติมหรือบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว เพราะติดตั้งง่าย ใช้เวลาไม่นาน และสามารถแก้ไขหรือซ่อมแซมได้สะดวก 

3. การเดินสายไฟในบ้านแบบร้อยท่อ 

การเดินสายไฟแบบร้อยท่อ เป็นการเดินสายไฟโดยสอดสายไฟไว้ภายในท่อร้อยสายไฟ ไม่ว่าจะเป็นท่อเหล็ก ท่อ PVC หรือท่อโลหะอ่อน การเดินสายไฟด้วยวิธีนี้จะช่วยป้องกันสายไฟจากความเสียหาย ความชื้นหรือสัตว์กัดแทะ อีกทั้งยังง่ายต่อการเปลี่ยนหรือดึงสายไฟใหม่ในอนาคต 

4. การเดินสายไฟในบ้านแบบตีกิ๊บ 

การเดินสายไฟแบบตีกิ๊บ เป็นการใช้กิ๊บพลาสติกหรือตัวหนีบยึดสายไฟให้ติดแน่นไปตามแนวผนังหรือเพดาน เหมาะสำหรับงานต่อเติมเล็ก ๆ ที่ไม่ต้องการความซับซ้อน ข้อดีคือประหยัดค่าใช้จ่ายและทำได้รวดเร็ว แต่ข้อเสียคืออาจดูไม่เรียบร้อยและมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสสายไฟโดยตรงหากกิ๊บหลวม

วิธีเดินสายไฟเข้าบ้านและติดตั้งท่อร้อยสายไฟอย่างปลอดภัย

การเดินสายไฟเป็นงานที่ต้องอาศัยความรู้ความชำนาญและความระมัดระวังสูง เพื่อความปลอดภัย ควรให้ช่างไฟฟ้าผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดำเนินการ โดยขั้นตอนในการเดินสายไฟเข้าบ้านพื้นฐานเพื่อความปลอดภัยมีดังนี้ 

  1. วางแผน ออกแบบและกำหนดตำแหน่ง วางแผนตำแหน่งของสวิตช์ เต้ารับและเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดให้ชัดเจน เพื่อคำนวณโหลดการใช้ไฟฟ้าและขนาดสายไฟที่เหมาะสม
  2. เลือกขนาดสายไฟ เลือกใช้สายไฟที่มีขนาดเหมาะสมกับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่าน และต้องเป็นสายไฟที่ได้รับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)
  3. แยกวงจร ควรแยกวงจรสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมาก เช่น เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น ออกจากวงจรแสงสว่างและเต้ารับทั่วไป
  4. การติดตั้งตู้ควบคุมไฟฟ้า (Consumer Unit) ควรติดตั้งตู้ควบคุมในบริเวณที่เข้าถึงง่าย แห้งและปลอดภัย ในตู้ควรมีเซอร์กิตเบรกเกอร์หลัก (Main Breaker) และเบรกเกอร์ย่อย (Circuit Breaker) ที่คุมแต่ละวงจร
  5. ควรติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความปลอดภัย เช่น ท่อร้อยสายไฟ สายดิน ระบบไฟฟ้าภายในบ้านต้องมีสายดินที่ถูกต้องตามมาตรฐานการไฟฟ้าฯ เพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่ว
  6. ตรวจสอบทุกจุดให้เรียบร้อย หลังติดตั้งเสร็จสิ้น ช่างไฟฟ้าต้องทำการตรวจสอบความถูกต้องของการเดินสายไฟ ความแน่นหนาของจุดเชื่อมต่อ และทดสอบการทำงานของระบบทั้งหมดก่อนส่งมอบงาน

เพราะการปฏิบัติตามมาตรฐานและขั้นตอนที่ถูกต้องจะช่วยให้ระบบไฟฟ้าในบ้านของคุณมีความปลอดภัยและใช้งานได้อย่างยาวนาน 

สรุปบทความ

การติดตั้งระบบไฟฟ้าในบ้านให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดจำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการเดินสายไฟอย่างเคร่งครัด ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การเลือกชนิดและขนาดสายไฟให้เหมาะสมกับปริมาณการใช้งาน การใช้สีสายไฟตามมาตรฐาน มอก. เพื่อป้องกันความสับสน การกำหนดระยะห่างของสายไฟจากส่วนประกอบอื่น ๆ ของอาคาร ไปจนถึงการต่อสายไฟที่ต้องแน่นหนาและใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังรวมถึงการติดตั้งตู้เมนไฟฟ้าในตำแหน่งที่ปลอดภัยและเข้าถึงง่าย การติดตั้งเต้ารับที่มีสายดิน การแบ่งวงจรย่อยสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมาก และการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟรั่ว (RCD) และระบบสายดินที่ถูกต้อง ทั้งหมดนี้เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าลัดวงจร ไฟดูดและอัคคีภัย เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้แก่ผู้อยู่อาศัยในระยะยาว 

เพื่อให้บ้านของคุณมีระบบไฟฟ้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานสูงสุด นอกจากความรู้ความเข้าใจและการติดตั้งโดยช่างผู้เชี่ยวชาญแล้ว การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพและได้รับการรับรองมาตรฐานก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน Leetech เราคือผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าชั้นนำ พร้อมให้คำปรึกษาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ มั่นใจในคุณภาพ มั่นใจในความปลอดภัย

สายดิน

คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับมาตรฐานการเดินสายไฟเข้าบ้าน 

มาตรฐานกำหนดสีของสายไฟไว้อย่างไร และแต่ละสีหมายถึงอะไร? 

การใช้สีสายไฟให้ถูกต้องตามมาตรฐาน มอก. 11-2553 เป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยในการติดตั้งและซ่อมบำรุง โดยแต่ละสีมีความหมาย ดังนี้ สีน้ำตาล ดำ เทา หมายถึงสายไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน (สายไลน์ L1, L2, L3), สีฟ้าคือสายนิวทรัล (N) และสีเขียวแถบเหลืองคือสายดิน (G)  

ตู้คอนซูมเมอร์ยูนิต ควรติดตั้งที่ไหน?

ตามมาตรฐานควรติดตั้งตู้เมนไฟฟ้าในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่าย สะดวกต่อการใช้งานและซ่อมบำรุง แต่ต้องปลอดภัยจากความชื้นและน้ำท่วม หากเป็นบ้านชั้นเดียวควรติดตั้งสูงจากพื้นอย่างน้อย 1.60 เมตร หากเป็นบ้านสองชั้น แนะนำให้ติดตั้งที่ชั้นลอยหรือชั้นสอง นอกจากนี้ ในตู้ควรมีการแยกวงจรย่อยอย่างชัดเจน และใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ที่มีมาตรฐานด้วย 

ทำไมต้องแยกวงจรย่อยสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมาก? 

การแยกวงจรย่อยเป็นไปตามมาตรฐานเพื่อกระจายโหลดไฟฟ้า ไม่ให้วงจรใดวงจรหนึ่งทำงานหนักเกินไป และมีข้อดีคือเมื่อเกิดปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรในวงจรหนึ่ง เช่น วงจรเครื่องปรับอากาศ จะไม่ส่งผลกระทบต่อวงจรอื่น ๆ ทำให้สามารถจัดการและแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดได้ง่ายและปลอดภัยกว่า
{ “@context”: “https://schema.org”, “@type”: “FAQPage”, “mainEntity”: [ { “@type”: “Question”, “name”: “มาตรฐานกำหนดสีของสายไฟไว้อย่างไร และแต่ละสีหมายถึงอะไร?”, “acceptedAnswer”: { “@type”: “Answer”, “text”: “การใช้สีสายไฟให้ถูกต้องตามมาตรฐาน มอก. 11-2553 เป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัย โดยแต่ละสีมีความหมายดังนี้: สีน้ำตาล ดำ เทา หมายถึงสายไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน (สายไลน์ L1, L2, L3), สีฟ้าคือสายนิวทรัล (N) และสีเขียวแถบเหลืองคือสายดิน (G)” } }, { “@type”: “Question”, “name”: “ตู้คอนซูมเมอร์ยูนิต ควรติดตั้งที่ไหน?”, “acceptedAnswer”: { “@type”: “Answer”, “text”: “ตามมาตรฐานควรติดตั้งตู้เมนไฟฟ้าในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่าย สะดวกต่อการใช้งานและซ่อมบำรุง แต่ต้องปลอดภัยจากความชื้นและน้ำท่วม หากเป็นบ้านชั้นเดียวควรติดตั้งสูงจากพื้นอย่างน้อย 1.60 เมตร หากเป็นบ้านสองชั้นแนะนำให้ติดตั้งที่ชั้นลอยหรือชั้นสอง และควรแยกวงจรย่อยอย่างชัดเจน พร้อมใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ที่ได้มาตรฐาน” } }, { “@type”: “Question”, “name”: “ทำไมต้องแยกวงจรย่อยสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมาก?”, “acceptedAnswer”: { “@type”: “Answer”, “text”: “การแยกวงจรย่อยเป็นไปตามมาตรฐานเพื่อกระจายโหลดไฟฟ้า ไม่ให้วงจรใดวงจรหนึ่งทำงานหนักเกินไป ข้อดีคือเมื่อเกิดปัญหาไฟฟ้าลัดวงจรในวงจรหนึ่ง เช่น วงจรเครื่องปรับอากาศ จะไม่ส่งผลกระทบต่อวงจรอื่น ๆ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะจุดได้ง่ายและปลอดภัยกว่า” } } ] }